วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว




ชื่อ นางสาวสร้อยสุดา  สุวงษ์  
ชื่อเล่น สร้อย
เกิด วันศุกร์ ที่ 10 กันยายน 2536
อายุ 21 ปี
ดิฉันเป็นบุตรคนที่ 1 มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน เป็นหญิงทั้ง 2 คน

ที่อยู่ปัจุบัน

  • บ้านเลขที่ 100 หมู่ 3 ตำบลโพนครก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
  • เบอร์โทรศัพท์ 081-5994162
  • E-mail : soisuda_1993@hotmail.com
  • Facebook : soisuda suwong
  • Line I.D. : 0819554162

ประวัติการศึกษา 

  • จบการศึกษา ประถมศึกษาจากโรงเรียนบ้านขี้เหล็ก 
  • จบการศึกษา มัธยมศึกษาจากโรงเรียนโนนแท่นพิทยาคม
  • ปัจุบันกำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ชั้นปีที่ 3 
  • คติประจำใจ : อย่าเพิ่งท้อแท้ในสิ่งที่ไม่พยายาม และอย่าพึ่งหมดหวังในสิ่งที่ยังไม่เริ่มต้น
นิสัย

  • เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว
  • เป็นคนจริงใจ(หรือเปล่า)
ข้อดี-ข้อเสีย
  • ข้อดี เป็นคนรอบครอบ ขยัน เรียบร้อย รักเพื่อน
  • ข้อเสีย ไม่กล้าแสดงออก พูดไม่ค่อยเก่ง เชื่อคนง่าย

ความสามารถพิเศษ
  • ออกแบบหน้าเว็บเพจสวย อิอิ

ทำกิจกรรมนอกห้องเรียน

ชิลๆหลังเลิกเรียน


ประเพณีลอยกระทง

ประเพณีลอยกระทง
ลอยกระทงสวนรักสุรินทร์
ลอยกระทงสวนรักสุรินทร์

วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา มักจะตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ลอยกระทงสวนรักสุรินทร์
ลอยกระทงสวนรักสุรินทร์

ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตกแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย

ลอยกระทงสวนรักสุรินทร์
ลอยกระทงสวนรักสุรินทร์

ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง


  • เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
  • เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
  • เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
  • ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพระยามารได้



ที่มา:http://pr.prd.go.th/

ทะเลสาบทุ่งกุลา

ทะเลสาบทุ่งกุลา


ทะเลสาบทุ่งกุลา (แก้มลิงบ้านม่วงสวรรค์) ต.ไพรขลา อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ทะเลสาบสีฟ้าสวยงามได้เกิดขึ้นแล้ว ณ ดินแดนท้องทุ่งกุลาแห่งนี้ และถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดสุรินทร์ที่ นักท่องเที่ยวควรหาโอกาสแวะไปเยี่ยมชมสักครั้ง 

ทะเลสาบทุ่งกุลา ตั้งอยู่ที่บ้านโพนม่วง ตำบลไพรขรา อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ รอยต่อกับอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

ออกเดินทางจากบ้านกาสะลองรีสอร์ท ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 214 ถึงบ้านปอหมันเลี้ยวขวาไปประมาณ 5 กม. เข้าสู่บ้านโพนม่วง เลยบ้านโพนม่วง ไปประมาณ 1.5 กม. ท่านก็จะพบทะเลสาบทุ่งกุลา กรมชลประทานดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นแก้มลิงกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง ปัจจุบันได้โอนความรับผิดชอบมาให้ อบต.ไพรขราแล้ว 


เนื่องจากทะเลสาบทุ่งกุลาอยู่ใกล้หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง จ.สุรินทร์ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวและชมการแสดงที่น่ารักของช้าง  นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางไปเที่ยวทะเลสาบทุ่งกุลาได้ด้วย




วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้าวหลามบ้านท่าศิลา

ข้าวหลามบ้านท่าศิลา


"ข้าวหลามบ้านท่าศิลา อ.ท่าตูม จังหวัดสุรินทร์" อันโดดเด่นซึ่งถือเป็นสินค้าของฝากติดมือขึ้นชื่อนักกินหลายๆ คนต่างยกให้ข้าวหลามบ้านท่าศิลา เป็นหนึ่งในข้าวหลามในดวงใจที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อยเมื่อนั้น มาวันนี้ข้าวหลามท่าศิลาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาช้านานก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งรูปรสกลิ่นที่ชวนกินอยู่ไม่เสื่อมคลาย

เปิดตำนานบ้านท่าศิลาอันคำว่าชื่อ "ท่าศิลา" นั้น หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าชื่อนี้ได้แต่ใดมา ซึ่งตามตำนานของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ได้บันทึกเอาไว้ว่า ท่าศิลาเดิมทีเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของ จ. สุริทร์ วันหนึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่งมาธุดงค์ และได้ปักกลดค้างแรมข้างหนองน้ำแห่ง หนึ่งในละแวกนั้น ซึ่งก็เป็นเวลาที่หมู่บ้านแห่งนี้ และหมู่บ้านใกล้เคียงเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นพอดี ส่งผลให้ชาวบ้านต่างบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

แม้ว่าชาวบ้านจะพยายามให้หมอกลางบ้าน หรือหมอยาสมุนไพรก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ด้วยความวิตกกังวลชาวบ้าน จึงอาราธนาพระธุดงค์ให้มาช่วยเหลือ พระธุดงค์รูปนั้นจึงได้ทำพิธีปลุกเสกน้ำมนต์ให้ชาวบ้านที่มาขอน้ำมนต์นำไป ดื่มกิน และประพรมตัวให้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย

ปรากฏว่าโรคร้ายหายไปไม่มีใครล้มป่วยอีก ชาวบ้านที่หมู่บ้านใกล้เคียงได้ยินกิตติศัพท์ในการรักษาโรคร้าย ต่างก็พากันมาขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อไปรักษาโรคร้ายในหมู่บ้านของตนบ้าง จนพระธุดงค์ไม่สามารถทำน้ำมนต์ให้เพียงพอกับความต้องการของชาวบ้านได้ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันขุดพื้นดินตรงที่พักของพระธุดงค์เป็นบ่อน้ำ ก่อนเชิญท่านมาทำพิธีปลุกเสก และหยดเทียนลงไปในบ่อน้ำนั้นชาวบ้านทั้งใน และนอกหมู่บ้านนำน้ำในบ่อไปดื่มกิน และรักษาโรคร้ายด้วยความศรัทธา

เมื่อพระธุดงค์เดินทางไปธุดงค์ที่อื่น ชาวบ้านต่างพากันอพยพมาอยู่ใกล้ๆ หนองน้ำกลายสภาพเป็นหมู่บ้านใหญ่ ส่วนบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นนานๆ เข้าก็แผ่ขยายกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ชาวบ้านจึงพากันตั้งชื่อว่า “ท่าศิลา” และเรียกหมู่บ้านตามชื่อหนองน้ำนั้น ก่อนจะกลายเป็น “ท่าศิลา” ในกาลต่อมา เพราะไม่มีหนองน้ำมนต์ให้เห็นอีก เนื่องจากหนองน้ำมนต์ได้กลายเป็นท้องไร่ท้องนาไปแล้วนั่นเอง

เริ่มมาเป็นข้าวหลามท่าศิลา

กว่าที่ข้าวหลามท่าศิลาจะโด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวนั้น แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านท่าศิลามีอาชีพทำนา เมื่อหมดหน้านาก็จะทำข้าวหลามเป็นของหวานกินกันตามอัตภาพ โดยจะนำข้าวเหนียวไปแลกกับน้ำตาลและมะพร้าวจากหมู่บ้านอื่น ส่วนไม้ไผ่ป่าก็หาตัดกันเองบนเขาบ่อยาง

ในแต่ละวันข้าวหลามท่าศิลาจะมีผู้แวะเวียนมาซื้อกลับไปเป็นจำนวนมาก เมื่อมีงานประจำปีที่ศาลเจ้าหลังท่าศิลา จึงเกิดมีการค้าขายขึ้น พ่อค้าแม่ค้าส่วนจะขายข้าวหลาม ควบไปกับการขายอ้อยควั่นและถั่วคั่ว โดยในยุคนั้นมีขายกันเพียงไม่กี่เจ้า จนเมื่อมีการตัดถนนผัทมานนท์ ทำให้มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาเที่ยวบางแสนมากขึ้น เกิดร้านค้ามากมายเรียงยาวตามเส้นทางสายปัทมานนท์ ต.ท่าศิลา จ.สุรินทร์ ที่ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะลงไปซื้อข้าวหลามติดไม้ติดมือกลับบ้าน ซึ่งปัจจุบันข้าวหลามท่าศิลาผ่านยุคผ่านสมัยมาเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว




ข้าวหลามข้าวหลามหนองมนสูตรโบราณหากพูดร้านข้าวหลามหนองมนระดับเป็นตำนาน "ร้านแจ๋วแว๋ว" และ "ร้านแม่ประณีต" นับหนึ่งในร้านเก่าแก่ดั้งเดิมที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันทั่วบ้านท่าศิลาเนื่องจากในสมัยจอมพลสฤษฏ์ และนายพลเนวิน แห่งประเทศพม่าเคยเรียกแม่เผื่อ และแม่เหมือนไปเผาข้าวหลามให้กิน ข้าวหลาม จึงกลายเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ไปทั่วประเทศ

ปัจจุบันร้านแม่เผื่อมีปราณี ศรีป่าน ลูกสะใภ้เป็นผู้สืบทอดกิจการ และสูตรโบราณของแม่เผื่อที่เสียชีวิตไป 10 กว่าปีแล้ว ปราณีเล่าว่า ข้าวเหนียวที่ร้านแม่เผื่อใช้ทำข้าวหลามเป็นข้าวเหนียวพันธุ์เขี้ยวงู ส่วนข้าวหลามที่ร้านก็มีรสชาติ เค็มมัน หวานน้อย ซึ่งต่างจากร้านอื่นที่หวานมาก โดยทางร้านยังคงรักษาสูตรดั้งเดิมของแม่เผื่อไว้ทุกอย่างทุกขั้นตอน

สูตรโบราณ

"ข้าวหลามที่ทางร้านทำขายมีเพียง 2 ไส้ คือ ไส้เผือก และ ไส้ถั่ว เพราะเป็นสูตรโบราณ ซึ่งหากเปลี่ยนไปทำไส้อื่นลูกค้าจะไม่นิยมเท่าไส้เดิมตามแบบฉบับของข้าวหลามท่าศิลา" ปราณีเล่า


เผาข้าวหลามแบบบ้านท่าศิลา

ในส่วนของการเผาข้าวหลามนั้นก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นกัน ณัฐธิดาได้อธิบายถึงวิธีการทำข้าวหลามทั้งแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ว่า

"วิธีทำข้าวหลามนั้นเริ่มจากการแช่ข้าวเหนียว และถั่วดำไว้ก่อน เมื่อแช่ข้าวเหนียวได้ที่แล้วนำไปต้มให้สุก จากนั้นนำข้าวเหนียวสุกใส่กะทิที่ผสมเกลือกับน้ำตาลไว้แล้ว คลุกให้เข้ากัน นำไปใส่กระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการเผา ซึ่งการเผาข้าวหลามที่หนองมน มี 2 วิธี คือ การเผาข้าวหลามแบบฟืน และแบบเตาแก๊ส

กรรมวิธีการเผาข้าวหลามแบบโบราณที่ใช้ฟื้น กาบมะพร้าว และเศษไม้ไผ่

"การเผาข้าวหลามแบบฟืนเป็นการเผาข้าวหลาม แบบดั้งเดิม ที่ต้องวางเรียงข้าวหลามบนพื้นดินเป็นแถวยาว ใช้กาบมะพร้าว ฟืน และเศษไม้ไผ่ที่เหลือจากการทำกระบอกข้าวหลามมาสุม คนเผาต้องใช้แรงและพลังงานเยอะในการเผา ซึ่งกว่าจะได้ข้าวหลามมา ต้องใช้เวลาเผานานกว่า 3 ชั่วโมง ทั้งยังต้องล้างเก็บ ทำให้ยากลำบาก คนทำข้าวหลามในปัจจุบันจึงเปลี่ยนจากการเผาข้าวหลามแบบโบราณมาใช้เตาเผาแทน"

ณัฐธิดาอธิบาย ก่อนเล่าต่อว่า ในส่วนของร้านแม่เจริญได้คิดค้นให้ช่างสร้างเตาเผาข้าวหลามขึ้น โดนได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนใช้การได้มาประมาณ 20 ปีแล้ว ปัจจุบันคนเอาไปใช้ทั่วหนองมน เตาเผาที่ใช้เป็นตู้สี่เหลี่ยม ภายในเป็นช่องราง สำหรับใส่ข้าวหลามเรียงเป็นแถวตอนซึ่งต้องคอยปรับอุณหภูมิอยู่ตลอดเวลา

อนึ่งหลังจากที่ข้าวหลามหนองมนเริ่มมีชื่อเสียง ในการหาไม้ไผ่มาทำข้าวหลามชาวบ้านหนองมนจะเลือกใช้ไม้ไผ่ป่าจากเขาบ่อยาง มาทำข้าวหลาม แต่ปัจจุบันไม่มีไม้ไผ่เหลือให้ตัดใช้ จึงต้องสั่งซื้อไม้ไผ่มาจากที่อื่นแทน โดยไม้ไผ่ที่ใช้ทำข้าวหลามมี 3 ชนิด คือ ไผ่ข้าวหลาม ไผ่ป่า และไผ่สีสุก ซึ่งในปัจจุบันไม้ไผ่เมืองไทยเริ่มไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ซ้ำในปัจจุบันยังเกิดวิกฤตต้นไผ่ออกดอก หรือไผ่ตายขุยมากกว่าปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไผ่กอนั้นจะตายทั้งกอภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี ที่ถึงแม้ว่าจะเกิดหน่อใหม่ขึ้นมาก็มีคุณภาพไม่เท่าเดิม

สำหรับลมหายใจของข้าวหลามท่าศิลาในวันนี้ยังคงถือว่าดีอยู่ แต่ก็ไม่แน่ว่า วันหนึ่ง"ข้าวหลามท่าศิลา" อาจ ไม่ได้อยู่ในกระบอกไม้ไผ่อย่างทุกวันนี้ก็ได้ หากไม้ไผ่หมดไปจากป่า ข้าวหลามท่าศิลา หรือข้าวหลามจากที่อื่นๆ อาจจะถูกย้ายไปใส่ในภาชนะประเภทอื่น แทน

สถานที่ท่องเทียวในจังหวัดสุรินทร์


หมู่บ้านช้าง

อยู่ที่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อ.ท่าตูม ตามทางหลวงหมายเลข 214 (จอมพระ-ท่าตูม) บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 36 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป อีกประมาณ 22 กิโลเมตร ชาวบ้านตากลางดั้งเดิมเป็นชาวส่วย มีอาชีพในการคล้องช้างป่า ฝึกช้างและเลี้ยงช้าง ปัจจุบันยังคงมี การเลี้ยงช้าง 
งานแสดงช้างและงานกาชาดประจำปี จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี

ปราสาทบ้านพลวง

ตั้งอยู่ที่บ้านพลวง ตำบลกังแอน ห่างจากที่ว่าการอำเภอปราสาท 4 กิโลเมตรตามถนนสายสุรินทร์-ปราสาท-ช่องจอม (ทางหลวงหมายเลข 214) มีทางแยกซ้ายมือที่กม. 34-35ไปอีกราว 1 กิโลเมตร ปราสาทหินบ้านพลวงเป็นปราสาทหินขนาดเล็กแต่ฝีมือการสลักหินประณีตงดงามมาก 

ปราสาทศรีขรภูมิ

ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ 34 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 226 โดยอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปอีก 1 กิโลเมตร ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในราวกลาง
พุทธศตวรรษ 17 ปราสาทศรีขรภูมิประกอบด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์
องค์กลางเป็นปรางค์ระธานมีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้งสี่บนฐานเดียวกันก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้า ไปทางทิศตะวันออก มีบันไดทางขึ้น
และประตูทางเข้าเพียง ด้านเดียวคือด้านทิศตะวันออก
ปรางค์ทั้งห้าองค์มีลักษณะเหมือนกัน

ปราสาทตาเมือน

ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง เป็นโบราณสถานแบบขอม 3 หลัง ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ติดแนวชายแดนประเทศไทยและกัมพูชา การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 214 ผ่านอำเภอปราสาท แยกไปตามทางหลวงหมายเลข 2121 ที่จะไปอำเภอบ้านกรวดประมาณ 25 กิโลเมตร 
มีทางแยกที่บ้านตาเมียง ไปอีก 13 กิโลเมตร

ปราสาทจอมพระ 

ตั้งอยู่หมู่ 4 ตำบลจอมพระ ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ประมาณ 26 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 214 (สายสุรินทสุรินทร์-ร้อยเอ็ด) เข้าตัวอำเภอจอมพระ มีทางแยกขวามือเข้าวัดป่าปราสาทจอมพระอีก 1 กิโลเมตรปราสาทจอมพระมีลักษณะของสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า อโรคยศาล มีโครงสร้างที่ยังสมบูรณ์อยู่มาก อาคารต่าง ๆ ก่อด้วยศิลาแลงและใช้หินทราย

ปราสาทภูมิโปน 
ตั้งอยู่ที่บ้านภูมิโปน ตำบลดม อำเภอสังขะ การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 2077 (สายสุรินทร์-สังขะ) ระยะทาง 49 กิโลเมตร จากแยกอำเภอสังขะเข้าทางหลวงหมายเลข 2124 (สังขะ-บัวเชด) ตรงต่อไปจนถึงบ้านภูมิโปนอีก 10 กิโลเมตร นับเป็นปราสาทแบบศิลปะเขมรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย คือราวพุทธศตวรรษ 13
ปราสาทยายเหงา 
ตั้งอยู่ที่บ้านสังขะ ตำบลสังขะ ห่างจากที่ว่าการอำเภอสังขะไปทาง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 4 กิโลเมตร ปราสาทอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ
ปราสาทภูมิโปนประกอบด้วยโบราณสถาน 4 หลัง คือ ปราสาทก่ออิฐ 3 หลัง และก่อศิลาแลง 1 หลัง มีอายุการก่อสร้างอย่างน้อยสองสมัย

ปราสาทบ้านไพล 
ตั้งอยู่ที่บ้านปราสาท ตำบลเชื้อเพลิง ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ประมาณ 22 กิโลเมตร กิโลเมตร (ก่อนถึงที่ว่าการอำเภอปราสาท 6 กิโลเมตร) มีทางแยกขวาไปตามถนนลาดยางอีก 3กิโลเมตร ตัวปราสาทมีลักษณะเป็นปรางค์ 3 องค์ สร้างด้วยอิฐขัดตั้งเรียงเป็นแนวเดียวกัน มีคูน้ำล้อมรอบ ยกเว้นทางเข้าด้านทิศตะวันออก
ปราสาทเมืองที 
ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดจอมสุทธาวาส หมู่ที่ 1 ตำบลเมืองที ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันออก ประมาณ เมืองประมาณ 16 กิโลเมตร ตามเส้นทางสุรินทร์-ศรีขรภูมิ ทางหลวงหมายเลข 226 จนถึงบ้านโคกลำดวน เลี้ยวซ้ายเข้าวัดจอมสุทธาวาส
อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวา... 
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ทางด้านใต้ ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 0 ที่ถนนสุรินทร์-ปราสาท เป็นบริเวณที่เคยเป็นกำแพงเมืองชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์ 
ศาลหลักเมืองสุรินทร์ 
เป็นสถานที่สำคัญและเป็นที่นับถือคู่บ้านคู่เมืองของชาวสุรินทร์ อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศตะวันตกประมาณ 500 เมตร เดิมเป็นเพียงศาลไม่มีเสาหลักเมือง มีมานานกว่าร้อยปี เมื่อปี พ.ศ. 2511 กรมศิลปากรได้ออกแบบสร้างศาลหลักเมืองใหม่ เสาหลักเมืองเป็นไม้ชัยพฤกษ์มาจากนายประสิทธิ์ มณีกาญจน์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเสาไม้สูง 3 เมตร วัดโดยรอบเสาได้ 1 เมตร ทำพิธียกเสาหลักเมืองและสมโภช เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2517


ประเพณีแซนโฎนตา


ประเพณีแซนโฎนตา หรือ วันสารทเขมร


    ประเพณีแซนโฎนตา หรือ วันสารทเขมร    ประเพณีแซนโฎนตา เป็นประเพณีหนึ่งที่มีความสำคัญ และปฏิบัติสืบทอดติดต่อกันมายาวนาน นับเป็นพัน ๆ ปีของชาวเขมร ที่แสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สะท้อนให้เห็นความรัก ความผูกพัน ความกตัญญูรู้คุณ ของสมาชิกในครอบครัวเครือญาติ และชุมชน โดยจะประกอบพิธีกรรม
       ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นลูก หลาน ญาติ พี่น้องที่ไปประกอบอาชีพ หรือตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อื่น ไม่ว่าจะใกล้ หรือไกลจะต้องเดินทางกลับมารวมญาติ เพื่อทำพิธีแซนโฎนตา เป็นประจำทุกปี



                               แซน หมายถึง การเซ่น การเซ่นไหว้ การบวงสรวง
                โฎนตา หมายถึง การทำบุญให้ปู่ย่า ตายาย หรือ บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว


ประเพณีแซนโฎนตา จึงหมายถึง ประเพณีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ที่นับได้ว่าเป็นประเพณีสำคัญที่คนไทยเชื้อสายเขมร มีการสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลานาน

ขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมแซนโฎนตา มีดังนี้
1. การเตรียมอุปกรณ์เครื่องเซ่นไหว้
2. การเซ่นไหว้ศาลปู่ตาประจำหมู่บ้าน
3. การเซ่นไหว้ศาลพระภูมิประจำบ้าน
4. การประกอบพิธีกรรมแซนโฏนตาที่บ้าน
5. การประกอบพิธีกรรมบายเบ็น
6. การประกอบพิธีกรรมที่วัด
(ประกอบพิธีการแซนโฏนตา บางท้องถิ่นอาจมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย)




* เบ็นตุ้ย หมายถึง สารทเล็ก
* เบ็นทม หมายถึง สารทใหญ่








ผ้าไหมสุรินทร์

ผ้าไหมสุรินทร์


ประวัติความเป็นมา  จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าไหมมานานและได้สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมมานานจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่น่สนใจยิ่ง  หากศึกษาอย่างลึกซึ่งแล้ว  จะค้นพบเหตุผลหลายประการที่สนับสนุนว่าจังหวัดสุรินทร์มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเองในเรื่องผ้าไหม  ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ   ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและการทอ  ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของผ้าไหม  การผลิตเส้นไหมน้อย  และกรรมวิธีการทอ


                   ผ้าโฮล เป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษสืบต่อกันมามีความสวยงาม ประณีต ในการทอ ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวสุรินทร์ กรรมวิธีในการทอผ้าทุกผืนจะต้องมีชายดังคำพังเพยของคนโบราณที่ว่า “ผู้หญิงสวยหน้า ทอผ้าสวยชาย” ลักษณะการทอชายผ้าหรือริมผ้าจะแตกต่างจากการทอผ้าชนิดอื่น คือมีการดึงเส้นไหมที่อยู่ชายผ้าตลบย้อนกลับเข้ามาในผืนผ้าเป็นการเก็บชายผ้า ทำให้ผ้าไม่ขาด และชายผ้าหนาขึ้น ดูแลรักษาง่าย และที่สำคัญการมัดย้อมจะเริ่มต้นด้วยการย้อมสีแดงจากครั่งซึ่งเป็นสีที่ติดทนนาน สีไม่ตก ไม่หดตัว จึงถือว่าสีแดงเป็นเอกลักษณ์ของผ้าโฮล เหมาะสำหรับการนำไปตัดเย็บเพื่อสวมใส่หรือแปรรูปเป็นกระเป๋าก็ได้
ผ้าไหมมัดหมี่โฮลเปรียบเสมือนงานศิลปะ ที่ศิลปินในอดีตได้จินตนาการและคิดค้นขึ้นมา สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็น
ภูมิปัญญาที่ทรงคุณค่าในปัจจุบัน

     
คำว่า “โฮล” เป็นภาษาเขมร แปลว่าไหล อันสื่อความหมายถึง การไหลมาเทมาของเงินทองเกียรติยศ ชื่อเสียง และความมั่งคั่งของผู้สวมใส่ ผ้าไหมโฮล ยังหมายถึง ผ้าไหมลายน้ำไหลซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน

ผ้าโฮล เป็นผ้าทอพื้นเมืองสุรินทร์ และเป็นราชินีแห่งผ้าไหมเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวสุรินทร์ ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย สืบทอดมาสู่รุ่นลูกหลานผ้าโฮลเป็นผ้าที่มีสีสันและลวดลายเด่น ลักษณะการทอจะเป็นจุดประสลับกับเส้นตรง ใช้ไหมคู่ 2 สีทอสลับกันเป็นลายตลอดไปทั้งผืน บางแห่งเรียกโฮลใบไผ่เนื่องจากมีลักษณะเป็นลายริ้วสลับกับลายมัดหมี่ ที่มีความกว้างประมาณครึ่งนิ้ว สลับกันไปดูคล้ายใบไผ่ ส่วนลายริ้วเปรียบเสมือนก้านใบไผ่เมื่อดูภาพรวมของลายผ้าจะคล้ายป่ามีปล่องช่องเขา มีลำธารน้ำ โฮลแดงเป็นการผสมผสานระหว่างลวดลายโบราณแต่มีการย้อมสีให้ออกสีแดงโดยใช้สีธรรมชาติในการมัดย้อม จึงเรียกว่า โฮลแดง นับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษในหมู่บ้านปราสาทเบงหมู่ที่ 14 ตำบลกาบเชิง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์

                 มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์


ประวัติ / ความเป็นมา
          ในสมัยโบราณในแถบพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์ มีช้างอาศัยอยู่มากมาย ขณะเดียวกันจังหวัดสุรินทร์ก็มีชาวพื้นเมืองที่มีความชำนาญในการจับช้างป่ามาฝึกหัดทำงาน เรียกว่า พวก "ส่วย" 
ชาวส่วยเป็นชาวพื้นเมืองที่กล่าวกันว่า เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ได้อพยพมาจากเมืองอัตขันแสนแป ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองจำปาศักดิ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน ชาวพื้นเมืองเหล่านี้เป็นเผ่าที่ชอบเลี้ยงช้าง เป็นผู้ริเริ่มในการจับช้างป่ามาฝึกเพื่อใช้งานและเป็นพาหนะเดินทางขนส่งในท้องถิ่น การไปจับช้างในป่าลึกโดยใช้ช้างต่อ เรียกว่า "โพนช้าง"


ที่หมู่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ชาวส่วยกลุ่มนี้ได้เข้าไปอยู่บนเนิน เขตรอยต่อระหว่าง ดงสายทอและดงรูดินใกล้ๆ กับบริเวณที่ลำน้ำชี้ (ชีน้อย) อันเป็นลำน้ำที่แบ่งเขตระหว่างจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ และลำน้ำมูลไหลมาบรรจบกัน โดยสภาพพื้นที่ดังกล่าวในอดีตได้ตัดขาดจากโลกภายนอกเกือบสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้การผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมอื่นจึงมีน้อย ชาวส่วยเกือบทั้งหมดในเขตพื้นที่นี้ ยังมีการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของตนเองอยู่ โดยเฉพาะการเลี้ยงช้าง เป็นอาชีพหลักที่สำคัญที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษในสมัยโบราณ ซึ่งไม่อาจสืบค้นได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด โดยชาวส่วยเหล่านี้จะพากันออกไปจับช้างในเขตประเทศกัมพูชามาฝึกให้สามารถใช้งานได้แล้วขายให้กับพ่อค้าจากภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อนำไปลากไม้ในป่า
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2502 ได้เกิดพิพาทระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา การเดินทางไปจับช้างจึงยุติลง และในที่สุดก็ได้ยุติลงอย่างสิ้นเชิงในราวปี พ.ศ.2506 ในขณะเดียวกันชาวบ้านบางส่วนได้หันมาฝึกช้างจากการเป็นสัตว์ใช้งานมาเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเช่นเดียวกับ แมวและสุนัข และฝึกสอนให้แสดงกิริยาต่างๆ เลียนแบบคน เพื่อจะได้นำไปแสดงในที่ต่างๆ แทนการขายไปทั้งตัว จนกระทั่งทางจังหวัดสุรินทร์ และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ชื่อในขณะนั้น) ได้มองเห็นความสำคัญที่จะส่งเสริมการแสดงของช้างเป็นงานประจำปี ของจังหวัดสุรินทร์และประเทศไทยขึ้น โดยจัดเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ.2504  เป็นต้นมา
แต่ก่อนที่จะมีงานช้างซึ่งถือเป็นงานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ซึ่งได้จัดติดต่อกันมาเกือบ 40 กว่าปีล่วงมาแล้ว นายท้าว ศาลางาม หมอช้างระดับครู ขาใหญ่แห่งหมู่บ้านกระเบื้องใหญ่ อำเภอชุมพลบุรี ได้เล่าถึงความเป็นมาของงานช้างว่า..
          ในปี พ.ศ.2498 นั้นมีข่าวลือว่า จะมีเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์มาลงที่หมู่บ้านตากลางหรือหมู่บ้านช้างในปัจจุบัน ด้วยเหตุที่ชาวบ้านนานๆ จะได้เห็นยวดยานพาหนะประเภทรถยนต์ และเครื่องบินผ่านไปในเขตพื้นที่อันเป็นที่อยู่อาศัยของตน จึงแตกตื่นไปทั่วตำบล มีการชักชวนกันไปดูเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ และเนื่องจากชาวบ้านในตำบลกระโพ เกือบทุกหมู่บ้านมีอาชีพสำคัญคือการเลี้ยงและออกจับช้างป่ามาฝึกขาย จึงมีช้างเกือบทุกครัวเรือน โดยเป็นทั้งพาหนะและสินทรัพย์ที่สำคัญของชาวบ้านแถบนั้นการเดินทางไปดูเฮลิคอปเตอร์ในครั้งนั้นจึงใช้ช้างเป็นพาหนะ
เมื่อไปถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์แล้วปรากฏว่ามีช้างจำนวนมากมายรวมกันแล้วนับได้ประมาณ 300 เชือก สร้างความตื่นเต้นประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก


จนกระทั่งในปี พ.ศ.2503 นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม สมัยนั้น ได้ให้นำช้างเหล่านี้มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมแสดงในงานฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ณ บริเวณสนามบินเก่าท่าตูม คือ บริเวณโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน การแสดงครั้งนั้นได้จัดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503มีการเดินขบวนพาเหรดของช้าง การแสดงการคล้องช้าง และการแข่งขันช้างวิ่งเร็ว มีช้างเข้าร่วมในการแสดงประมาณ 60 เชือก จากการแสดงคราวนั้น ทำให้มีการประชาสัมพันธ์แพร่ภาพทั้งทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เผยแพร่ไปทั่ว ทำให้เกิดความสนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ชื่อเดิมของ ททท.)จึงเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยว่าการแสดงของช้างที่จังหวัดสุรินทร์ในครั้งนั้น นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากของจังหวัด และประชาชนทั่วไปก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่มีโอกาสหาชมได้น้อย จึงเห็นสมควรที่จะเผยแพร่งานแสดงของช้างไปสู่วงกว้าง โดยเสนอให้งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีของจังหวัด และให้มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีการกำหนดวันให้แน่นอนตามปฏิทินทางสุริยคติ และจัดรูปแบบงานให้มีความรัดกุมมากขึ้น เพื่อจะได้มีเวลาในการโฆษณาเชิญชวนไปยังต่างประเทศ อันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศให้แพร่หลายไปด้วย
ดังนั้น ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2504 จังหวัดสุรินทร์จึงได้ร่วมกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงานแสดงของช้างขึ้น เป็นงานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์อีกครั้งหนึ่ง โดยยังคงจัดที่อำเภอท่าตูม ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดสุรินทร์ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 52 กิโลเมตร


จากผลการจัดงานแสดงของช้างดังกล่าว ได้รับความสนใจจากชาวต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงได้รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้งานเสดงของช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และคณะรัฐมนตรี ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2505 เป็นต้นมา งานแสดงของช้างจังหวัดสุรินทร์จึงกลายเป็นงานประจำปีของชาติ และเป็นงานประเพณีที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาจังหวัดสุรินทร์จนกระทั่งปัจจุบัน

งานเทศกาลจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง

งานเทศกาลจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง 






        จังหวัดสุรินทร์เป้นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีการจัดงานวันแห่งความรักกันมาทุกปี ด้วยธีมช้าง เป็นงานช้าง งานแต่งงานบนหลังช้าง ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสุรินทร์เลยก้ว่าได้ ปีนี้กำหนดจัดงานจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง จ. สุรินทร์  วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ณ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์  เราจะได้พบกับพิธีแต่งงานแบบชาวกวย ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณเรียกว่า “พิธีซัตเต”  พร้อมการจดทะเบียนสมรสบนหลังช้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก 




         งานนี้ถือว่าเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี การแต่งงานของชนพื้นเมืองสุรินทร์ และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ ไปพร้อมๆกันด้วย พิธีแต่งงาน แบบชาวกวยโบราณ หรือพิธีซัตเต เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดสุรินทร์ 

ขั้นตอน พิธีแต่งงาน แบบชาวกวยโบราณ
          จะเริ่มเมื่อคู่หนุ่มสาวชาวกวย ตกลงแต่งงานกัน เจ้าบ่าวมาสู่ขอเจ้าสาวจากผู้ใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเริ่มสร้างกระท่อมเพื่อประกอบพิธี ในบริเวณลานบ้านเจ้าสาวด้วยตนเองจนเสร็จ และในวันแต่งงาน เจ้าบ่าว เจ้าสาว จะสวมชุดชาวกวยพื้นเมือง เจ้าบ่าวจะเดินทาง (ถ้ามีช้างจะนั่งช้าง) จากบ้านตนเองไปบ้านเจ้าสาว จากนั้นพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี จะพาเจ้าสาวลงมาจากบ้านไปยังกระท่อมเพื่อประกอบพิธีกรรม เริ่มด้วยเจ้าบ่าวจะสวมด้ายมงคล เจ้าสาว จะสวมจะลอม (มงกุฎที่ทำจากใบตาล) จะมะ (แก้ว แหวน สร้อย ต่างหู หรือเครื่องประดับที่เจ้าบ่าวนำมาให้) แล้วเริ่มตรวจนับสินสอดเครื่องประกอบต่างๆ 

          จากนั้นพราหมณ์จะเริ่มพิธีบายศรีสู่ขวัญตามแบบชาวกวย พิธีถอดกระดูกคางไก่เสี่ยงทายชีวิตคู่ แล้วผูกข้อมือผู้ใหญ่ เพื่อน และอวยพรให้คู่บ่าวสาวตามลำดับจนเสร็จ สุดท้ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งช้างเดินทางไปยังวังทะลุ (บริเวณที่ลำน้ำมูลและลำน้ำชีไหลมาบรรจบกัน) เพื่อบอกกล่าวเจ้าที่ให้รับทราบถึงการครองคู่สามีภรรยาจึงถือเป็นการเสร็จสิ้นพิธี

           จึงขอเชิญชวนคู่รักที่แต่งงานแล้ว หรือกำลังวางแผนแต่งงาน มาร่วมสมัครเข้าร่วมพิธีสมรสหมู่และจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง ท่ามกลางบรรยากาศพิธีแต่งงานแบบชาวกวย ร่วมกิจกรรม ขบวนช้างแห่เจ้าบ่าว พิธีบายศรีสู่ขวัญ อันศักดิ์สิทธิ์และพิธีแต่งงานแบบชาวกวย ร่วมบันทึกภาพประวัติศาสตร์การจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย งานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวันแก่คู่สมรสพร้อมรับของที่ระลึกจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น (ยกเว้นค่าใช้จ่ายเฉพาะการแต่งกายของคู่บ่าวสาวเท่านั้น)



ที่มา:http://www.sadoodta.com/

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน

แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 2557

 

            คนส่วนใหญ่จะรู้จักจังหวัดสุรินทร์ในนามของเมืองช้าง โดยอำเภอท่าตูมเป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงด้านการเลี้ยงช้าง มีหมู่บ้านช้างเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งชาวกูยสุรินทร์นั้นมักจะนำช้างไปเลี้ยงแถบลุ่มแม่น้ำมูล ความผูกพันธ์ระหว่างช้างกับคนและวิถีชีวิตของการอาศัยลุ่มน้ำมูลเป็นทั้ง แหล่งอาหารและใช้น้ำเพื่อการเกษตร อีกทั้งใช้สัญจรไปมาระหว่างชาวบ้านในอำเภอท่าตูมและอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์มาช้านาน โดยประเพณีที่มีความเกี่ยวข้องกันของสองอำเภอนี้คือ ประเพณีแข่งเรือยาว โดยจังหวัดสุรินทร์มักจจะจัดให้มีการแข่งเรือยาวขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกปี โดยปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-26 ตุลาคม 2557 โดยการแข่งขันมีทั้ง 30 , 40 และ 55 ฝีพาย ท่านใดสนใจลองวางแผนไปเที่ยวสุรินทร์กันนะครับ โดยงานนี้หากใครสนใจไปหมู่บ้านช้างต่อก็ได้นะครับ อยู่ห่างจากจุดจัดงานแข่งขันเรือยาว (ตัวอำเภอท่าตูม) ประมาณ 7 กิโลเมตร

เชิญเที่ยวงานประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 2557 ณ บริเวณลำน้ำมูล อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์






ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=935964

วันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิ


วันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิ


โดยจังหวัดสุรินทร์ผลิตข้าวหอมมะลิได้ จำนวนผลผลิตทั้งสิ้น3 ล้านตัน ต่อปี เฉลี่ย 439 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งจากการทำนาของเกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ที่ผ่านมานั้น ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการเปลี่ยนพันธุ์ข้าวทุก 3 ปี การตัดพันธุ์ข้าวปน การใช้ปุ๋ยเคมี รวมทั้ง สารเคมีกำจัดโรคแมลงศัตรูพืช และการใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตจากการสงเคราะห์ เป็นต้น จึงทำให้เกิดปัญหาพันธุ์ข้าวที่ปนกัน ทำให้คุณภาพของข้าวต่ำลง อีกทั้งยังมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เกษตรกรยังมีหนี้สินมาก และยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคและผู้ผลิตจากการใช้สารเคมี รวมถึงการใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชในจำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม



นอกจากนี้ยังพบว่าจังหวัดสุรินทร์มีการตัดต้นไม้ทำลายป่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการบุกรุกเพื่อใช้พื้นที่ทำการเกษตรต่างๆ ทำให้ต้นไม้ลดจำนวนลง ซึ่งส่งผลกระทบถึงสภาวะโลกร้อนอีกด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาสนใจดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์จึงได้จัดงานวันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาสนใจในการเพาะปลูกต้นไม้ การจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก และเป็นการร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์ไม้พื้นเมือง เพิ่มช่องทางการตลาดของผู้ผลิต ผู้ค้าพันธุ์ไม้ และเป็นการให้ความรู้กับประชาชนผู้สนใจการเพาะปลูกไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ เพื่อสร้างอาชีพให้กับประชาชนในจังหวัดสุรินทร์




สินค้า OTOP ประจำจังหวัดสุรินทร์



                  ภายในงานยังมีการจัดแสดงสินค้าโอท๊อปจากหลายๆอำเภอ และยังเป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิดยังผลิตด้วยมือ เช่น กระเป๋าเป้จากเศษผ้าไหมที่เย็บมือ จากกลุ่มสินค้าโอท๊อปบ้านบัวขาว อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์



กระเป๋าจากเศษผ้าไหมที่เย็บด้วยมือ



สมุนไพรรักษาโรค



ผ้าไหมทอด้วยมือสินค้ามีชื่อเสียงของจังหวัดสุรินทร์



การจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับภายในงาน

               

















วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง

           เศรษฐกิจพอเพียง เวปไซต์แห่งนี้ ได้รวบรวมข้อมูลและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจพอเพียง ไว้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นในด้านประวัติความเป็นมา หรือจุดเริ่มต้นที่ก่อเกิดเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมา ในด้านความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง พระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการต่างๆที่เนื่องมาจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเราได้รวมเอาบุคคลตัวอย่าง ข้อสอบ บทกลอน และเรียงความเศรษฐกิจพอเพียง มาใว้ที่นี่ที่เดียว โดยเนื้อหาต่างๆดังที่กล่าวมา ท่านสามารถเลือกหาหัวข้อที่ท่านสนใจที่เมนูด้านซ้ายมือได้เลย


ในส่วนของบทความเกี่ยวกับการเกษตร เราได้รวมเอาเทคนิค และวิธีการในการทำการเกษตร ไม่ว่าจะเป็น ทั้งในด้านการปลูกพืช และด้านการเลี้ยงสัตว์ ยกตัวอย่าง เช่น การเลี้ยงปลาดุกในบ่ซีเมนต์ การเลี้ยงหมูหลุม การเลี้ยงเป็ด การเลี้ยงไก่ การเลี้ยงหมู การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจต่างๆ การปลูกผักหวานป่า การปลูกกล้วย การปลูกไผ่หวาน การปลูกพืชเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึง วิธีการดูแลจัดการต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากเกษตรกรที่ได้ทดลองแล้วได้ผล หรือที่เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน เช่น การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ไว้ใช้เอง เพื่อลดต้นทุน การทำจุลินทรีย์ในการปลูกพืชเพื่อเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนในการทำการเกษตร รวมทั้งการใช้วิธีธรรมชาติ ในการจัดการกับโรค แมลง เพื่อความสมดุลย์
           

ในส่วนของ เวปบอร์ดนั้น จะเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ของเกษตรกร และบุคคลทั่วไปที่สนใจในด้านการเกษตร ที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน รวมทั้งจะมี ในส่วนของการซื้อขายแลกเปลี่ยน สินค้าเกษตร เช่น ขายเมล็ดพันธุ์ เป็นต้น และในส่วนเวปบอร์ด นี้จะจัดให้มีส่วน ความรู้ทั่วๆไป ข่าวสาร และในส่วนของการสนทนาทั่วๆไป เพื่อความเป็นกันเองของท่านสมาชิก และถ้าสมาชิกท่านใด ต้องการในส่วนใหนเพิ่มเติม ก็ส่งข้อความมาหาเวปมาสเตอร์ได้เลย

เนื้อหาสาระเกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียง และในส่วนอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อความสะดวกในการค้นหา ท่านสามารถเลือกอ่านได้ที่ เมนูด้านซ้ายมือได้เลย




ที่มา  : http:// www.เศรษฐกิจพอเพียง.net