ประวัติ / ความเป็นมา
ในสมัยโบราณในแถบพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์ มีช้างอาศัยอยู่มากมาย ขณะเดียวกันจังหวัดสุรินทร์ก็มีชาวพื้นเมืองที่มีความชำนาญในการจับช้างป่ามาฝึกหัดทำงาน เรียกว่า พวก "ส่วย" ชาวส่วยเป็นชาวพื้นเมืองที่กล่าวกันว่า เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ได้อพยพมาจากเมืองอัตขันแสนแป ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองจำปาศักดิ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน ชาวพื้นเมืองเหล่านี้เป็นเผ่าที่ชอบเลี้ยงช้าง เป็นผู้ริเริ่มในการจับช้างป่ามาฝึกเพื่อใช้งานและเป็นพาหนะเดินทางขนส่งในท้องถิ่น การไปจับช้างในป่าลึกโดยใช้ช้างต่อ เรียกว่า "โพนช้าง" ที่หมู่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ชาวส่วยกลุ่มนี้ได้เข้าไปอยู่บนเนิน เขตรอยต่อระหว่าง ดงสายทอและดงรูดินใกล้ๆ กับบริเวณที่ลำน้ำชี้ (ชีน้อย) อันเป็นลำน้ำที่แบ่งเขตระหว่างจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ และลำน้ำมูลไหลมาบรรจบกัน โดยสภาพพื้นที่ดังกล่าวในอดีตได้ตัดขาดจากโลกภายนอกเกือบสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้การผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมอื่นจึงมีน้อย ชาวส่วยเกือบทั้งหมดในเขตพื้นที่นี้ ยังมีการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของตนเองอยู่ โดยเฉพาะการเลี้ยงช้าง เป็นอาชีพหลักที่สำคัญที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษในสมัยโบราณ ซึ่งไม่อาจสืบค้นได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด โดยชาวส่วยเหล่านี้จะพากันออกไปจับช้างในเขตประเทศกัมพูชามาฝึกให้สามารถใช้งานได้แล้วขายให้กับพ่อค้าจากภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อนำไปลากไม้ในป่า จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2502 ได้เกิดพิพาทระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา การเดินทางไปจับช้างจึงยุติลง และในที่สุดก็ได้ยุติลงอย่างสิ้นเชิงในราวปี พ.ศ.2506 ในขณะเดียวกันชาวบ้านบางส่วนได้หันมาฝึกช้างจากการเป็นสัตว์ใช้งานมาเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเช่นเดียวกับ แมวและสุนัข และฝึกสอนให้แสดงกิริยาต่างๆ เลียนแบบคน เพื่อจะได้นำไปแสดงในที่ต่างๆ แทนการขายไปทั้งตัว จนกระทั่งทางจังหวัดสุรินทร์ และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ชื่อในขณะนั้น) ได้มองเห็นความสำคัญที่จะส่งเสริมการแสดงของช้างเป็นงานประจำปี ของจังหวัดสุรินทร์และประเทศไทยขึ้น โดยจัดเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ.2504 เป็นต้นมา แต่ก่อนที่จะมีงานช้างซึ่งถือเป็นงานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ซึ่งได้จัดติดต่อกันมาเกือบ 40 กว่าปีล่วงมาแล้ว นายท้าว ศาลางาม หมอช้างระดับครู ขาใหญ่แห่งหมู่บ้านกระเบื้องใหญ่ อำเภอชุมพลบุรี ได้เล่าถึงความเป็นมาของงานช้างว่า.. ในปี พ.ศ.2498 นั้นมีข่าวลือว่า จะมีเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์มาลงที่หมู่บ้านตากลางหรือหมู่บ้านช้างในปัจจุบัน ด้วยเหตุที่ชาวบ้านนานๆ จะได้เห็นยวดยานพาหนะประเภทรถยนต์ และเครื่องบินผ่านไปในเขตพื้นที่อันเป็นที่อยู่อาศัยของตน จึงแตกตื่นไปทั่วตำบล มีการชักชวนกันไปดูเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ และเนื่องจากชาวบ้านในตำบลกระโพ เกือบทุกหมู่บ้านมีอาชีพสำคัญคือการเลี้ยงและออกจับช้างป่ามาฝึกขาย จึงมีช้างเกือบทุกครัวเรือน โดยเป็นทั้งพาหนะและสินทรัพย์ที่สำคัญของชาวบ้านแถบนั้นการเดินทางไปดูเฮลิคอปเตอร์ในครั้งนั้นจึงใช้ช้างเป็นพาหนะ เมื่อไปถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์แล้วปรากฏว่ามีช้างจำนวนมากมายรวมกันแล้วนับได้ประมาณ 300 เชือก สร้างความตื่นเต้นประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ.2503 นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม สมัยนั้น ได้ให้นำช้างเหล่านี้มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมแสดงในงานฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ณ บริเวณสนามบินเก่าท่าตูม คือ บริเวณโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน การแสดงครั้งนั้นได้จัดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503มีการเดินขบวนพาเหรดของช้าง การแสดงการคล้องช้าง และการแข่งขันช้างวิ่งเร็ว มีช้างเข้าร่วมในการแสดงประมาณ 60 เชือก จากการแสดงคราวนั้น ทำให้มีการประชาสัมพันธ์แพร่ภาพทั้งทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เผยแพร่ไปทั่ว ทำให้เกิดความสนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ชื่อเดิมของ ททท.)จึงเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยว่าการแสดงของช้างที่จังหวัดสุรินทร์ในครั้งนั้น นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากของจังหวัด และประชาชนทั่วไปก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่มีโอกาสหาชมได้น้อย จึงเห็นสมควรที่จะเผยแพร่งานแสดงของช้างไปสู่วงกว้าง โดยเสนอให้งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีของจังหวัด และให้มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีการกำหนดวันให้แน่นอนตามปฏิทินทางสุริยคติ และจัดรูปแบบงานให้มีความรัดกุมมากขึ้น เพื่อจะได้มีเวลาในการโฆษณาเชิญชวนไปยังต่างประเทศ อันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศให้แพร่หลายไปด้วย ดังนั้น ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2504 จังหวัดสุรินทร์จึงได้ร่วมกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงานแสดงของช้างขึ้น เป็นงานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์อีกครั้งหนึ่ง โดยยังคงจัดที่อำเภอท่าตูม ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดสุรินทร์ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 52 กิโลเมตร จากผลการจัดงานแสดงของช้างดังกล่าว ได้รับความสนใจจากชาวต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงได้รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้งานเสดงของช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และคณะรัฐมนตรี ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2505 เป็นต้นมา งานแสดงของช้างจังหวัดสุรินทร์จึงกลายเป็นงานประจำปีของชาติ และเป็นงานประเพณีที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาจังหวัดสุรินทร์จนกระทั่งปัจจุบัน |
วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์
มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์
งานเทศกาลจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง
งานเทศกาลจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง
จังหวัดสุรินทร์เป้นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีการจัดงานวันแห่งความรักกันมาทุกปี ด้วยธีมช้าง เป็นงานช้าง งานแต่งงานบนหลังช้าง ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสุรินทร์เลยก้ว่าได้ ปีนี้กำหนดจัดงานจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง จ. สุรินทร์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ณ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เราจะได้พบกับพิธีแต่งงานแบบชาวกวย ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณเรียกว่า “พิธีซัตเต” พร้อมการจดทะเบียนสมรสบนหลังช้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
งานนี้ถือว่าเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี การแต่งงานของชนพื้นเมืองสุรินทร์ และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ ไปพร้อมๆกันด้วย พิธีแต่งงาน แบบชาวกวยโบราณ หรือพิธีซัตเต เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดสุรินทร์
ขั้นตอน พิธีแต่งงาน แบบชาวกวยโบราณ
จะเริ่มเมื่อคู่หนุ่มสาวชาวกวย ตกลงแต่งงานกัน เจ้าบ่าวมาสู่ขอเจ้าสาวจากผู้ใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเริ่มสร้างกระท่อมเพื่อประกอบพิธี ในบริเวณลานบ้านเจ้าสาวด้วยตนเองจนเสร็จ และในวันแต่งงาน เจ้าบ่าว เจ้าสาว จะสวมชุดชาวกวยพื้นเมือง เจ้าบ่าวจะเดินทาง (ถ้ามีช้างจะนั่งช้าง) จากบ้านตนเองไปบ้านเจ้าสาว จากนั้นพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี จะพาเจ้าสาวลงมาจากบ้านไปยังกระท่อมเพื่อประกอบพิธีกรรม เริ่มด้วยเจ้าบ่าวจะสวมด้ายมงคล เจ้าสาว จะสวมจะลอม (มงกุฎที่ทำจากใบตาล) จะมะ (แก้ว แหวน สร้อย ต่างหู หรือเครื่องประดับที่เจ้าบ่าวนำมาให้) แล้วเริ่มตรวจนับสินสอดเครื่องประกอบต่างๆ
จากนั้นพราหมณ์จะเริ่มพิธีบายศรีสู่ขวัญตามแบบชาวกวย พิธีถอดกระดูกคางไก่เสี่ยงทายชีวิตคู่ แล้วผูกข้อมือผู้ใหญ่ เพื่อน และอวยพรให้คู่บ่าวสาวตามลำดับจนเสร็จ สุดท้ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งช้างเดินทางไปยังวังทะลุ (บริเวณที่ลำน้ำมูลและลำน้ำชีไหลมาบรรจบกัน) เพื่อบอกกล่าวเจ้าที่ให้รับทราบถึงการครองคู่สามีภรรยาจึงถือเป็นการเสร็จสิ้นพิธี
จึงขอเชิญชวนคู่รักที่แต่งงานแล้ว หรือกำลังวางแผนแต่งงาน มาร่วมสมัครเข้าร่วมพิธีสมรสหมู่และจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง ท่ามกลางบรรยากาศพิธีแต่งงานแบบชาวกวย ร่วมกิจกรรม ขบวนช้างแห่เจ้าบ่าว พิธีบายศรีสู่ขวัญ อันศักดิ์สิทธิ์และพิธีแต่งงานแบบชาวกวย ร่วมบันทึกภาพประวัติศาสตร์การจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย งานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวันแก่คู่สมรสพร้อมรับของที่ระลึกจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น (ยกเว้นค่าใช้จ่ายเฉพาะการแต่งกายของคู่บ่าวสาวเท่านั้น)
ที่มา:http://www.sadoodta.com/
วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน
แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 2557
คนส่วนใหญ่จะรู้จักจังหวัดสุรินทร์ในนามของเมืองช้าง โดยอำเภอท่าตูมเป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงด้านการเลี้ยงช้าง มีหมู่บ้านช้างเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งชาวกูยสุรินทร์นั้นมักจะนำช้างไปเลี้ยงแถบลุ่มแม่น้ำมูล ความผูกพันธ์ระหว่างช้างกับคนและวิถีชีวิตของการอาศัยลุ่มน้ำมูลเป็นทั้ง แหล่งอาหารและใช้น้ำเพื่อการเกษตร อีกทั้งใช้สัญจรไปมาระหว่างชาวบ้านในอำเภอท่าตูมและอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์มาช้านาน โดยประเพณีที่มีความเกี่ยวข้องกันของสองอำเภอนี้คือ ประเพณีแข่งเรือยาว โดยจังหวัดสุรินทร์มักจจะจัดให้มีการแข่งเรือยาวขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกปี โดยปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-26 ตุลาคม 2557 โดยการแข่งขันมีทั้ง 30 , 40 และ 55 ฝีพาย ท่านใดสนใจลองวางแผนไปเที่ยวสุรินทร์กันนะครับ โดยงานนี้หากใครสนใจไปหมู่บ้านช้างต่อก็ได้นะครับ อยู่ห่างจากจุดจัดงานแข่งขันเรือยาว (ตัวอำเภอท่าตูม) ประมาณ 7 กิโลเมตร
เชิญเที่ยวงานประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 2557 ณ บริเวณลำน้ำมูล อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=935964
วันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิ
วันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิ
โดยจังหวัดสุรินทร์ผลิตข้าวหอมมะลิได้ จำนวนผลผลิตทั้งสิ้น3 ล้านตัน ต่อปี เฉลี่ย 439 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งจากการทำนาของเกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ที่ผ่านมานั้น ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการเปลี่ยนพันธุ์ข้าวทุก 3 ปี การตัดพันธุ์ข้าวปน การใช้ปุ๋ยเคมี รวมทั้ง สารเคมีกำจัดโรคแมลงศัตรูพืช และการใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตจากการสงเคราะห์ เป็นต้น จึงทำให้เกิดปัญหาพันธุ์ข้าวที่ปนกัน ทำให้คุณภาพของข้าวต่ำลง อีกทั้งยังมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เกษตรกรยังมีหนี้สินมาก และยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคและผู้ผลิตจากการใช้สารเคมี รวมถึงการใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชในจำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ยังพบว่าจังหวัดสุรินทร์มีการตัดต้นไม้ทำลายป่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการบุกรุกเพื่อใช้พื้นที่ทำการเกษตรต่างๆ ทำให้ต้นไม้ลดจำนวนลง ซึ่งส่งผลกระทบถึงสภาวะโลกร้อนอีกด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาสนใจดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์จึงได้จัดงานวันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาสนใจในการเพาะปลูกต้นไม้ การจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก และเป็นการร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์ไม้พื้นเมือง เพิ่มช่องทางการตลาดของผู้ผลิต ผู้ค้าพันธุ์ไม้ และเป็นการให้ความรู้กับประชาชนผู้สนใจการเพาะปลูกไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ เพื่อสร้างอาชีพให้กับประชาชนในจังหวัดสุรินทร์
สินค้า OTOP ประจำจังหวัดสุรินทร์
ภายในงานยังมีการจัดแสดงสินค้าโอท๊อปจากหลายๆอำเภอ และยังเป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิดยังผลิตด้วยมือ เช่น กระเป๋าเป้จากเศษผ้าไหมที่เย็บมือ จากกลุ่มสินค้าโอท๊อปบ้านบัวขาว อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
กระเป๋าจากเศษผ้าไหมที่เย็บด้วยมือ
สมุนไพรรักษาโรค
ผ้าไหมทอด้วยมือสินค้ามีชื่อเสียงของจังหวัดสุรินทร์
การจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับภายในงาน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)




















